คำนำ

คำนำ


ในปีหนึ่งๆ ที่ผ่านไปนั้นเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายต้องตกเป็นอาหารของมนุษย์เราอย่างนับไม่ถ้วน นั่นคือการเบียดเบียนเข่นฆ่าผู้ที่อ่อนแอกว่า โดยถือคตินิยมว่าเนื้อสัตว์เป็นอาหารที่มีรสชาติอันโอชะของปวงมนุษย์ ดังนั้นจึงเปรียบเสมือนกับว่ามนุษย์เราทุกๆ ผู้เป็นผู้ที่มีป่าช้าอยู่ในตัวเองทุกผู้ เพราะมีซากสัตว์ตกลงสู่กระเพาะของเราอย่างมากมาย ซึ่งนับว่าเป็นป่าช้าที่กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่ามหาสมุทรที่ถมเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักเต็มและไม่มีขอบเขตจำกัด ทั้งๆ ที่การเบียดเบียนสัตว์นี้เป็นเรื่องของการก่อหนี้กรรมทั้งสิ้น เพราะหากยิ่งกินเนื้อสัตว์มากเท่าใดก็ยิ่งเพิ่มการประกอบกรรมมากขึ้น และจะเป็นเหตุให้เหล่าดวงวิญญาณของสรรพสัตว์ทั้งหลายมีความอาฆาตแค้นสะสมมากขึ้นเท่านั้นมนุษย์เราทุกคนจึงควรที่จะทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ถึงเรื่องการเบียดเบียนและเรื่องจิตวิญญาณ เพราะมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายต่างก็มีจิตวิญญาณเช่นเดียวกัน ต่างกันแต่ว่ามนุษย์นั้นแสดงออกให้เห็นถึงความโลภ โกรธ หลง อย่างเด่นชัด และเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกยกย่องจากเหล่ามนุษย์ด้วยกันเองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ กล่าวคือมีสติปัญญา มีความรู้และความเฉลียวฉลาดที่จะสามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการกระทำของแต่ละผู้ได้ ส่วนสัตว์ทั้งหลายนั้นถูกเรียกว่าสัตว์เดรัจฉานเพราะ ขาดสติปัญญาในการพิจารณา ซึ่งเป็นข้อแตกต่างสำคัญที่ไม่เหมือนมนุษย์นั่นเองมนุษย์มีสมองในการที่จะพิจารณาเลือกการกระทำของตนเองได้ ซึ่งจิตวิญญาณของเหล่าสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายก็มีความต้องการเลือกการกระทำเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีโอกาสที่จะทำได้ และต้องปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมที่ได้กระทำไว้ตามกรรมของตน ในขณะที่มนุษย์เราทั้งหลายมีโอกาสจะประกอบกรรมดีหรือกรรมชั่วที่สามารถทำให้จิตวิญญาณได้ขึ้นสวรรค์ ลงนรก หรือหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ ซึ่งเท่ากับว่ามนุษย์เป็นผู้มีโอกาสเลือกการกระทำของตน ฉะนั้นมนุษย์จึงควรที่จะรักษาความประเสริฐและรักษาโอกาสของตนไว้โดยการตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และไม่เบียดเบียนสัตว์ เพราะการเบียดเบียนสัตว์นั้นเป็นการสร้างความอาฆาตพยาบาท ซึ่งมีผลผูกพันไปถึงครอบครัวและลูกหลานของเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายอีกส่วนหนึ่งด้วย เพราะมนุษย์เราไปพรากเขาจากครอบครัวที่มีสื่อสัมพันธ์ในด้านความรักและการสืบสายเลือดเช่นเดียวกับมนุษย์ มนุษย์เราบางผู้อาจจะคิดว่าในเมื่อเรามิได้เป็นผู้ลงมือกระทำการเบียดเบียนชีวิตด้วยตัวเราเอง เราเพียงแต่เป็นผู้ไปซื้อเนื้อสัตว์มาประกอบเป็นอาหารเท่านั้นเราจะมีบาปด้วยหรือ ถ้าเป็นกรณีเช่นนี้ก็จงใช้สติปัญญาพิจารณาอย่างเป็นธรรมดูเถิดว่าการที่ผู้อื่นประกอบกรรมในการฆ่าสัตว์นั้น เขาก็ย่อมหวังที่จะทำการค้าโดยหวังผลกำไรจากการที่เราไปซื้อเนื้อสัตว์นั้นๆ เพราะฉะนั้นการที่เราไปซื้อเนื้อสัตว์ก็เท่ากับเราเป็นผู้ส่งเสริมให้มีการฆ่าสัตว์นั่นเอง หากแม้นเป็นกรณีที่ตัวเราจะอ้างว่าการซื้อเนื้อมาบริโภคโดยที่มิได้ลักขโมยมานั้นจะเป็นบาปด้วยหรือ ก็ขอให้เราได้พิจารณาต่อไปด้วยใจเป็นธรรมและมีความเป็นกลางอย่างแท้จริง โดยตรองให้ลึกซึ้งเถิดว่าเรานั้นเป็นผู้ที่ส่งเสริมการกระทำบาปให้เกิดขึ้นโดยทางอ้อมหรือไม่ หรือเราเปรียบเสมือนเป็นผู้สั่งฆ่าหรือไม่ เพราะผู้ที่กระทำการฆ่าก็เปรียบเสมือนกับเพชฌฆาตที่เป็นลูกจ้างของผู้สั่งฆ่านั่นเอง ฉะนั้นผู้ที่เป็นเพชฌฆาตย่อมจะมีความผิดที่ต้องได้รับโทษอย่างมหันต์ และผู้ที่สั่งฆ่าก็ย่อมจะต้องมีความผิดด้วยเช่นเดียวกัน จงตรองดูเถิดว่าจิตวิญญาณของสัตว์ทั้งหลายก็มีความอาฆาตแค้น มีความผูกพันอยู่กับครอบครัวหรือสิ่งที่ตนรักและหวงแหน ก็ย่อมที่จะต้องตามล้างตามผลาญเพื่อชดใช้หนี้กรรมสืบต่อกันไป ดังนั้นถึงแม้ว่ามนุษย์เราจะหลงติดอยู่ในรสชาดของเนื้อสัตว์ว่าเป็นอาหารอันโอชะและสามารถบำรุงร่างกายของมนุษย์ให้มีความเจริญเติบโตเพื่อให้เกิดมีพลังในการประกอบสัมมาอาชีพก็ตาม แต่มนุษย์เราพิจารณากันบ้างหรือไม่ว่าพืชผักที่มีอยู่มากมายเหลือคณานับอันเป็นสิ่งที่ไม่มีจิตวิญญาณ และไม่มีจิตอาฆาตแค้นก็เป็นอาหารที่มีคุณค่าอย่างมหาศาลในการบำรุงร่างกายให้เจริญเติบโตได้เช่นเดียวกัน ฉะนั้นมนุษย์เราจะนำพืชผักเหล่านี้มาเป็นอาหารเพื่อจะเป็นการทดแทนอาหารที่ทำขึ้นจากเนื้อสัตว์ไม่ได้เชียวหรือ เพราะการละจากการบริโภคเนื้อสัตว์ก็เป็นการหยุดก่อหนี้กรรม และหยุดการสะสมนำซากสัตว์เข้าสู่ป่าช้าในร่างกายของเรา หากมนุษย์เราสามารถละจากการบริโภคเนื้อสัตว์ได้มากเท่าใดก็ยิ่งเป็นกุศลต่อตัวเราเองที่ไม่เบียดเบียนสัตว์มากเท่านั้น