พระขุนแผน (พรายกุมาร) รุ่นสากหัก

พระขุนแผน (พรายกุมาร) รุ่นสากหัก
เขียนโดย ชินพร สุขสถิตย์
Tuesday, 06 January 2009

พระขุนแผน (พรายกุมาร) รุ่นสากหัก เพื่อแจกผู้ร่วมทอดกฐินสามัคคี ร่วมแผ่พลังสวดพุทธคุณปราบไตรจักร ในวันหล่อ พระกริ่งชินบัญชร รุ่น มหาปราบ
ครั้งแรกที่ผมเข้าไปพบหลวงปู่ทิม อิสริโก ยอดพระเกจิอาจารย์ เมืองระยอง โดยการรบเร้าชักชวนมาเป็นปีๆ ของคุณประชา ตรีพาสัย อดีตนายช่างโยธาของกรมชลประทาน คุณเพียรวิทย์ จารุสถิติ ศิษย์เอกคนหนึ่งของหลวงปู่ทิม ชี้ให้ผมดูครกหินใบเขื่องที่แยกออกเป็นสองเสี่ยงใต้ถุนหอฉันหลังเก่าที่รื้อไปแล้ว คุณเพียรวิทย์บอกว่า ครกหินใบนี้แตกขณะตำผงพรายกุมาร ผมไม่เคยได้ยินคำว่า ผงพรายกุมาร มาก่อนจึงถามคุณเพียรวิทย์ว่า ผงอะไร? คุณเพียรวิทย์ตอบและอธิบายให้ฟังว่าคือ ผงสุดวิเศษที่ทำจากหัวกระโหลกเด็กตายทั้งกลม หรือหัวกระโหลกผีท้องแก่ ที่ลูกตายคาท้องแม่ เมื่อเอามาตำจนใกล้จะละเอียดครกหินที่ใช้ทำก็แตกออกเป็นสองเสี่ยง!
ครั้งนั้นผมยังไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้เท่าไหร่นัก คิดว่าคุณเพียรวิทย์ ฉายหนังให้ดูเสียมากกว่า แม้แต่หลวงปู่ทิม ท่านลงมาเจิมครถยนต์ให้ผมในวันที่พบกันครั้งแรก ท่านเพ่งและเอาสองมือแตะหน้าหม้อรถโฟลต์ รถก็เคลื่อนได้ทั้งๆที่จอดไว้บนพื้นทราย เห็นจะๆอย่างนี้ ผมก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเรื่อง “ครกแตก” มันเป็นไปได้อย่างไร?
จนเมื่อประมาณกลางๆปี ๒๕๑๘ มีคนมาเล่าให้ผมฟังว่า นายสำเภา อัมฤทธิ์ หรือ นายครอก เอาผงพรายไปสร้างพระขุนแผนตำผงจนเกิดไฟลุกท่วมครก ผมก็ยังไม่ค่อยจะเชื่อเพราะไม่เห็นด้วยตาตัวเอง แต่ครั้งนี้มีพยานหลายคนมายืนยันว่า เขาเห็นมากับตา และต้องไปนิมนต์หลวงปู่ทิมมาดับไฟลุกครก ตอนนายครอกตำผงทำพระขุนแผน ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของปฏิกริยาทางเคมีเมื่อโลหะสองชนิดมากระทบกันแรงๆก็ย่อมทำให้เกิดประกายไฟและเมื่อมีวัสดุไวไฟอยู่ด้วยก็เลยทำให้เกิดไฟลุกในครกได้
เรื่องนายครอกตำผงพรายแล้วไฟลุกในครกนี้ ผมเคยให้นายครอก มาเล่าให้คุณนิลนารถและคุณพรชัย ร้านเซี้ยโภชนา ฟังก่อนที่เขาจะร่วมกันทำหนังสือเล่มแรก นายครอกเล่าให้ฟังข้างวิหารรูปหล่อหลวงปู่ทิมว่า เมื่อหลวงปู่ทิมและกรรมการวัดละหารไร่ จ้างให้นายครอกทำพระขุนแผนพรายกุมาร องค์ละ ๑ บาท บอกสูตรในการผสมผงแล้วก็ให้ผงพรายมาค่อนกระป๋องนมข้น บอกว่าเมื่อตำผงได้ที่ไม่ติดมือแล้วให้ตักผงพรายกุมารผสมลงไป ๑ ช้อนแกง นายครอกเล่าว่าเมื่อเอาผงพรายที่หลวงปู่ทิมให้มาใส่ครกตำได้ประเดี๋ยวเดียวก็เกิดไฟลุกในครก จะทำอย่างไรก็ไม่ดับเปลวไฟที่ลุกเป็นสีออกเขียวคล้ายไฟอ๊อก..ร้อนมาก เมื่อหมดปัญญาที่จะดับ นายครอกก็ให้นายแดง ลูกชายหลวงลุงรอด (ขรัวรองจากหลวงปู่ทิม) ขับรถโตโยต้าไปรับหลวงปู่ทิมมาดับไฟ
เมื่อหลวงปู่ทิมมาถึงก็เอามือลูบเหนือครก ไฟก็ดับสนิท แต่ผงกลายเป็นถ่านดำหมดทั้งครก แล้วหลวงปู่บอกให้เก็บผงนี้ไว้ เอาไว้ผสมกับผงที่จะทำพระขุนแผนในครกต่างๆต่อไป
ครั้งผมมาเขียนเรื่องพระขุนแผนพรายกุมารอันลือลั่นของหลวงปู่ทิม ผมก็ได้เอาเรื่องเหล่านี้เขียนเล่าลงไปด้วย และก็เกิดความเชื่อว่า เรื่องครกแตกออกเป็นสองเสี่ยงก็ดี ไฟลุกขณะนายครอกตำผงพรายก็ดี คงเป็นเรื่องจริงเพราะมีผู้เห็นกันหลายคน ถ้าจะเรียกว่าเล่าลือกันไปทั้งหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ๆวัดละหารไร่ก็คงจะไม่ผิด แต่เสียดายอยู่อย่างเดียวที่ผมไม่ได้ถ่ายภาพครกที่แตกออกเป็นสองเสี่ยงไว้ทั้งๆที่มีกล้องถ่ายรูปอยู่ในมือ

พระขุนแผนพรายกุมาร รุ่นสากหัก เนื้อขาว พิมพ์ใหญ่พิเศษกด ๗ วันแรกที่มูลนิธิฯ เสกหลายวาระ
ด้านหลังยันต์จินดามณีหรือยันต์ครูหลวงปู่ทิม บรรจุทับทิมเสก

พระขุนแผนพรายกุมาร รุ่นสากหัก เนื้อขาว พิมพ์ใหญ่พิเศษ เสกหลายวาระ
ด้านหลังบรรจุปรกมะขามหลวงพ่อสิน วัดละหารใหญ่

พระขุนแผนพรายกุมาร รุ่นสากหัก เนื้อขาว พิมพ์ใหญ่พิเศษเสกหลายวาระ
ด้านหลังบรรจุขุนพลจิ๋วแช่น้ำมันเหล็กไหลน้ำมันพราย

จนเมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๖ ซึ่งเป็นวันดีของปีผมจึงถือเอาวันนี้เป็นวันเริ่มต้นในการสร้างพระขุนแผนพรายกุมารที่จะแจกเป็นของขวัญ หรือของสมนาคุณแก่ผู้ที่ร่วมทำบุญกับผมในการหาปัจจัยไปทอดกฐินสามัคคี ที่วัดพงเสลี่ยง บ้านห้วยโป้ ตำบลแม่สิน อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย เมื่อผมเอาผงพุทธคุณต่างๆพร้อมผงพรายกุมารที่ พระทอง สุขวงศ์จันทร์ และลุงแมง มอบให้มาตำเป็นครกแรก พอผงเริ่มละเอียดพอที่จะนำมากดเป็นพระได้ สากหินก็หักทันที! ผมขนลุกซู่ทั้งตัว หลวงปู่ทิมคงสำแดงอะไรบางอย่างเป็นสัญญาณบอกว่า พระขุนแผนรุ่นนี้ต้องขลังและศักดิ์สิทธิ์แน่นอน เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ผมเห็นหรือผมทำคนเดียว มีผู้ร่วมเห็นอยู่ ๓ คน คือ ผม, คุณมานิดา ภรรยาผม, และคุณนพดล ช่างโยธา ซี ๔ สำนักระบายน้ำของกทม. รวมอยู่ในพิธีตำผงวันนั้นด้วย พระขุนแผนพรายกุมารทั้งพิมพ์เล็ก, พิมพ์ใหญ่ ที่จะทำขึ้นสมนาคุณแก่ผู้ร่วมทอดกฐินครั้งนี้ เป็นหนึ่งในตระกูลผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม น่าจะได้ชื่อว่า
พระขุนแผน (พรายกุมาร) รุ่นสากหัก พระขุนแผนพรายกุมารรุ่นที่เริ่มผงครกแรกแล้วสากหินที่เอามาตำผงเกิดหักขึ้นมา คงจะเป็นไปตามอาถรรพ์ของการสร้างผงพรายกุมารตามตำรับของหลวงปู่ทิม ที่เป็นมาแล้วถึง ๒ ครั้ง ครั้งแรกพอเริ่มตำผงพรายครกหินขนาดใหญ่ที่ใช้ตำก็แตกออกเป็นสองเสี่ยง, ครั้งที่สอง หลวงปู่ทิมให้นายครอก อัมฤทธิ์เอาไปทำที่บ้านพอตำผงได้ที่ไฟก็ลุกขึ้นในครก และครั้งที่ ๓ เกิดที่บ้านผมหรือสำนักงานมูลนิธิหลวงปู่ทิม อิสริโก ในซอยเฉลิมสุข เขตจตุจักร กรุงเทพฯ พอผงพรายกุมารที่ตำกำลังจะได้ที่สากหินที่ตำก็หักเป็นสองท่อน ก็คงเป็นเครื่องสำแดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของการสร้างพระขุนแผนในครั้งนี้เป็นแน่ เพราะก่อนจะสร้างพระขุนแผนรุ่นนี้ทั้งผมและลุงแมงต่างก็บอกกล่าวกับรูปหล่อหลวงปู่ทิม ทุกครั้งก็สวดมนต์ไหว้พระเพื่อขอให้บังเกิดความขลังความศักดิ์สิทธิ์ดุจเดียวกับที่หลวงปู่ทิมทำเมื่อครั้งยังมีชีวิต เพราะเราจะเอาพระขุนแผนพรายกุมารชุดนี้ไปทำบุญทำกุศล แจกแก่ผู้ร่วมทำบุญทอดกฐิน ณ วัดพงเสลี่ยง บ้านห้วยโป้ สุโขทัยในวันเสาร์ที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๖ และขอให้พระขุนแผนพรายกุมารที่ทำขึ้นมีความขลังความศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับที่หลวงปู่ทิมทำเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่
พระขุนแผนพรายกุมาร รุ่นสากหัก ที่ทำขึ้นครั้งนี้ ถ้าจะเรียกว่าเป็นการสร้างที่มีวัตถุมงคลมากที่สุดเท่าที่ได้เคยสร้างกันมาหลังจากหลวงปู่ทิม มรณะภาพแล้วก็เห็นจะไม่ผิด

พระขุนแผนพรายกุมาร รุ่นสากหัก เนื้อแดงพิมพ์ใหญ่มีตะกรุด
ด้านหลังยันต์จินดามณีหรือยันต์ครูหลวงปู่ทิม บรรจุตะกรุดเงิน

พระขุนแผนพรายกุมาร รุ่นสากหัก เนื้อแดง พิมพ์เล็ก
ด้านหลังยันต์จินดามณี

พระขุนแผนพรายกุมาร รุ่นสากหัก เนื้อดำปัดทอง พิมพ์เล็ก
ด้านหลัง

ลุงแมง อัมฤทธิ์ บุตรบุญธรรมหลวงปู่ทิม ซึ่งท่านตั้งชื่อให้ว่า นายสิงหราช อัมฤทธิ์ และเป็นผู้ที่หลวงปู่ทิมมอบหมายให้สร้างพระขุนแผนพรายกุมารให้ท่านเป็นคนแรก (ขุนแผนลองพิมพ์) อีกทั้งเป็นผู้ที่หลวงปู่ทิมใช้ให้ไปขุดโคกดินใต้ถุนศาลาภาวนาภิรัต เพื่อเอาน้ำมันพระเจ้าตากมาสร้างพระขุนแผนนั้นคงเป็นเพราะลุงแมงมีชื่อเป็นมหาอำนาจ ลุงแมงย้ายจากระยองไปอยู่สุโขทัยแล้วลงทุนซื้อไร่ปลูกส้มเขียวหวานออกจำหน่าย แกเห็นศาลาเอนกประสงค์ของวัดพงเสลี่ยงซึ่งใช้เป็นที่ประชุมชาวบ้านอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม ก็เลยมาปรึกษากับผมเพื่อขอให้ผมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินในปีนี้ เพื่อนำปัจจัยที่จะได้มาสร้างศาลาให้วัดพงเสลี่ยง ผมก็รับปากและบอกว่าจะแจ้งข่าวบอกบุญไปยังบรรดาลูกศิษย์ของหลวงปู่ทิม ให้ช่วยกันเป็นเจ้าภาพเพื่อสร้างศาลา โดยให้ชื่อว่า “ศาลาศิษย์หลวงปู่ทิม ร่วมใจ”
เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจของผู้ร่วมงานจึงคิดสร้างพระขุนแผนพรายกุมารเอาไว้แจกผู้ร่วมทำบุญ ลุงแมงและพระทอง สุขวงศ์จันทร์ ซึ่งทั้งสองคนเคยรับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่ทิม โดยทั้งสองคนได้มอบผงพรายกุมารชนิดบริสุทธิ์ (เพียวๆ) หรือชนิดเข้มข้นที่ทั้งคู่เก็บไว้ครั้งสร้างพระขุนแผนให้หลวงปู่ แก่ผมหนึ่งขวดเนสกาแฟขนาดเล็ก แกบบอกว่าเก็บไว้ตั้งแต่สมัยหลวงพ่อ (หมายถึงหลวงปู่ทิม) ไม่กล้าเอาออกมาทำพระเพราะเกรงใจพระอาจารย์เชยเจ้าอาวาสวัดละหารไร่ เลยตัดสินใจมอบให้ผมเพื่อให้เอามาทำพระขุนแผนแจกงานกฐินในครั้งนี้
นอกจากนั้นลุงแมงยังไปแสวงหาว่านมงคลต่างๆตามตำราสร้างพระผงของหลวงปู่ทิมมาให้ผมอีกหลายชนิด สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ลุงแมงไปเสาะแสวงหามาให้ผมก็คือ ไม้หลงลืม หรือเถาวัลย์หลง เมื่อผมไปเยียนลุงแมงที่บ้านห้วยโป้ ภรรยาลุงแมงบอกกับผมว่า “พี่แมงอุตสาห์ไปหาไม้หลงลืม เอามาให้ผมทำพระขุนแผน ไปหาอยู่นานโขจึงจะได้” นอกจากวัตถุมงคลต่างๆแล้ว ทิดเย็น คำมี หรืออดีตหลวงพี่เย็น ซึ่งเคยช่วยหลวงปู่ทิมสร้างพระเครื่อง, ลงเลขยันต์ ตลอดจนการทำสีผึ้งก็ได้บอกเคล็ดลับต่างๆในวิธีการสร้างพระเครื่องของหลวงปู่ทิมแก่ผมด้วย
บางคนก็นำผง และของอาถรรพ์ต่างๆมาให้ด้วย คุณอุกฤษ ดุลย์เกษม หัวหน้าไปรษณีย์ นำพระผงรูปหล่อขนาดใหญ่พิเศษหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ซึ่งสร้างขึ้นเพียง ๓ องค์ มาให้ผมตำผสมลงไปในเนื้อพระขุนแผน ลูกศิษย์สายตรงของหลวงพ่อพรหมเห็นพระผงรูปเหมือนองค์นี้แล้ว บอกให้ผมเก็บเอาไว้เพราะหายากมากทำจากผงล้วนๆของหลวงพ่อพรหม มีเพียง ๓ องค์เท่านั้น แต่ผมก็ได้นำไปป่นใส่ลงในเนื้อพระขุนแผนรุ่นสากหัก ทิดเย็น คำมีได้แนะนำให้ใส่วัสดุอาถรรพ์ต่างๆเหมือนครั้งที่หลวงปู่ทิมสร้างพระขุนแผน ซึ่งผมก็ทำตามทุกอย่าง
แทบจะกล่าวได้ว่าพระขุนแผนพรายกุมารรุ่นสากหักนี้ มีผงพรายกุมาร และผงวิเศษต่างๆ ของหลวงปู่ทิม บรรจุมากที่สุดเท่าที่เคยสร้างกันมาผมลงมือตำผง กดพิมพ์สร้างพระขุนแผนได้ประมาณพันกว่าองค์ก็ทำต่อไปไม่ไหว คุณชาลี เอี่ยมฉลวย ศิษย์เอกของหลวงพ่อสง่า วัดบ้านหม้อ ราชบุรี และหลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม เลยรับอาสาเอาไปทำต่อให้เพราะจะทำเป็นพุทธบูชาถวายหลวงปู่ทิม ก่อนจะรับอาสาทำให้ คุณชาลีเล่าว่า ฝันเห็นหลวงปู่ทิมมาหาแล้วยื่นกระดาษสารพัดกันสีชมพูให้พร้อมกับแผ่นทองคำอีก ๑ แผ่น ทั้งสองสิ่งเข้าไปในตัวของคุณชาลี พอคุณชาลีเริ่มทำพระขุนแผนก็เกิดอาการเนื้อด้านหลังเต้นตุ๊บๆ จนเกิดความรำคาญ ไม่ว่าคุณชาลีจะเอาไม้เอามีดมาเกาหรือแม้แต่เอามีคมๆมาสับเนื้อด้านหลังก็ยังไม่หายเต้น คุณชาลีเลยไปเปิดเสื้อให้พระอาจารย์เปีย ศิษย์สายอาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง ผู้เป็นอาจารย์สักดูแผ่นหลัง ปรากฎว่า ด้านหลังนูนขึ้นมาเป็นรูปหงษ์ทองคู่ และรูปหนุมาน คุณชาลี เอี่ยมฉลวย ทนทุกข์เพราะหนังเต้นอยู่ได้ ๒ วัน พ่อแก่ครูฤาษีที่คุณชาลีนับถือบอกว่า ครูมาลง เพราะทำพระขุนแผนให้เอาหมากพลูมาเคี้ยวแล้วเอาน้ำหมากมาลูบหลัง อาการเนื้อเต้นก็จะค่อยๆหายไป คุณชาลีบอกว่ เหตุที่เป็นดังนี้เพราะหลวงปู่ทิมคงต้องการแสดงให้รู้ว่าพระขุนแผนชุดนี้ศักดิ์สิทธิ์แน่นอน
พระขุนแผนสากหักนี้ หลวงปู่ธรรมรังษี เมตตาปลุกเสกให้ตั้งแต่วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๖ และแจกเป็นของสมนาคุณแก่ผู้ร่วมงานกฐินวัดพงเสลี่ยง สุโขทัยไปบ้าง แล้วนำพระขุนแผนที่เหลือไปเข้าพิธีเททองหล่อพระกริ่งชินบัญชรมหาปราบ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๔๖ อีกครั้ง พระขุนแผนพรายกุมารรุ่นสากหักสร้างขึ้น ๒ พิมพ์ คือพิมพ์ใหญ่ และพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่สร้างเพียง ๕, ๕๕๕ องค์, พิมพ์เล็กสร้างเพียง ๖, ๙๙๖ องค์ มี ๓ สีคือ สีดำ, แดง, และขาว พิมพ์ใหญ่มีชนิดฝั่งตะกรุดทองคำ ๙๖ องค์, ตะกรุดเงิน ๒๕๖ องค์, และตะกรุดทองแดง ๓๕๖ องค์, และพิเศษบรรจุขุนพลจิ๋วปี๒๕๔๔, หรือบรรจุปรกใบมะขามหลวงพ่อสิน วัดละหารใหญ่, บรรจุทับทิมเสก - พลอยเสก
ตะกรุดสาริกาทั้งทองคำ, เงิน, และทองแดง คุณชาลี เอี่ยมฉลวย เป็นผู้จารตามตำราและเคล็ดลับของหลวงปู่ทิม อิสริโก แล้วถวายให้หลวงพ่อผล ทายาทของหลวงปู่จันทร์ วัดนางหนู ลพบุรี ปลุกเสก, ส่วนขุนพลจิ๋วปลุกเสกในน้ำมันเหล็กไหล-น้ำมันพราย พิธีที่วัดละหารไร่เมื่อปี๒๕๔๔ โดยหลวงพ่อสาคร

พระขุนแผนพรายกุมาร หลวงปู่ธรรมรังษี เนื้อเทา พิมพ์ใหญ่
ด้านหลังรูปพรายกุมารและอักษรตัวสุ อักษรตัวแรกของหลวงปู่ธรรมรังษี

พระขุนแผนพรายกุมาร หลวงปู่ธรรมรังษี เนื้อแดง พิมพ์เล็ก
ด้านหลังอักษรตัวสุ อักษรตัวแรกของหลวงปู่ธรรมรังษี

พระขุนแผนพรายกุมาร หลวงปู่ธรรมรังษี พิมพ์เล็ก เนื้อโลหะชนวนรูปเหมือนหลวงปู่ทิม
ด้านหลังอักษรตัวสุ อักษรตัวแรกของหลวงปู่ธรรมรังษี

ผู้ที่รับแจกขุนแผน (พรายกุมาร) รุ่น สากหัก ไปหลายท่านได้นำออกใช้ทันที เพราะเชื่อว่านอกจากหลวงปู่ธรรมรังษีจะปลุกเสกแล้ว หลวงปู่ทิม ต้องลงมาทำให้อย่างแน่นอนอีกครั้ง ดังจะเห็นได้จากพิธีเททองพระกริ่งชินบัญชร มหาปราบ ที่เกิดความมหัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อมาแล้ว พระคุณเจ้าองค์หนึ่งที่จังหวัดสระบุรี มาขอไปแจกกฐิน ท่านเล่าให้คุณไพโรจน์ ซื่อชัยเจริญ แห่งเกษมสุขหินอ่อนฟังว่า เมื่อเก็บไว้ในกุฏิ นิมิตเห็นสีกามาหาเต็มกุฏิไปหมด เลยเอาไปฝากที่พระภิกษุอีกรูปหนึ่งซึ่งก็นิมิตเช่นเดียวกันอีก หลายคนที่นำเอาไปใช้เพราะเชื่อว่าหลวงปู่ทิม ต้องมาปลุกเสกให้ เล่าว่า คนไม่ถูกกันมานานก็มาพูดด้วย บางรายก็มีสาวๆมาแซวอย่างไม่เคยมีมาก่อน อีกรายบอกว่าเมื่อเอาขึ้นคอแล้วก็นึกถึงแฟนเก่าๆก็โทรมาหา
นอกจากพระขุนแผนแล้วยังได้สร้างพระผงและเหรียญมหาปราบขึ้นด้วย เหรียญและพระผงมหาปราบสร้างเป็นรูป เจ้าแม่เทวดา หรือ เจ้าแม่กาลี กำลังแสดงฤทธิ์ปราบพญามารอย่างเกรียวกราด ดุร้าย จนร้อนถึงพระอิศวรต้องจำแลงเป็นพญาจระเข้ มารองรับการกระทืบพญามารให้จมธรณี เพื่อป้องกันโลกไม่ให้ถล่มทะลาย หรือเรียกอีกอย่างว่า “ พระไวโรจรน์พุทธเจ้า (ตามความลัทธิมหายาน) นิมิตพระองค์เป็ฯพญามารให้ใหญ่กว่าพญามารที่จะมาทำลายโลก และด้านหลังเป็น รูปพระพุทธเจ้าพร้อมอักขระอันศักดิ์สิทธิ์ของธิเบต เหรียญและพระผงมหาปราบนี้ใส่ห่อร่วมให้หลวงปู่ธรรมรังษีปลุกเสกพร้อม ล็อกเก็ตรูปมหาอุดของหลวงปู่ทิมซึ่งเป็นภาพหลวงปู่ทิม นั่งในท่ามหาอุด คืออุดทั้งมือและเท้าเป็นภาพที่ยังไม่เคยเปิดเผยมาก่อน เมื่อหลวงปู่ธรรมรังษีปลุกเสกแล้วได้มอบเหรียญมหาปราบแก่ผู้ที่อยู่ในพิธีไปคนละ ๕-๖ เหรียญ นายกี่ หลุมทอง ชาวบ้านลุงปุงได้รับไป ๕ เหรียญ ได้โทรมาเล่าให้ฟังอย่างตื่นเต้นว่าให้หลานชายเอาติดตัวไปเลี้ยงวัด หลานชายเอาไปลองยิงด้วยปืนแก๊ปปรากฏว่า ปืนไม่ลั่นถึง ๔ นัดทั้งที่ชนวนตีแก๊ปแตกเป็นประกายไฟ แต่ไฟไม่ติดดินปืนที่อัดไว้ แต่เมื่อเอาเหรียญออกแล้วลองยิงใหม่ ปืนก็ลั่น!
ก่อนที่จะรู้จักหลวงปู่ธรรมรังษี วัดพระพุทธบาทเขาพนมดิน จังหวัดสุรินทร์ ครูที่อำเภอท่าตูม สุรินทร์มาขอผงพรายกุมารจากผม ไปบรรจุล็อกเก็ตของหลวงปู่ธรรมรังษีซึ่งภายหลังตั้งชื่อว่า ล็อกเก็ตมหาเศรษฐี เพราะผู้ที่บูชาล็อกเก็ตรุ่นนี้ไปถูกล็อกเก็ตรุ่นนี้ไป ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่๑ และรางวัลข้างเคียงถึง ๓ ราย เรียกว่างวดนั้นรางวัลที่๑ ตกอยู่กับคนท่าตูมที่ได้บูชาล็อกเก็ตหลวงปู่ธรรมรังษีทั้งหมด ครูซี๗ วิชัย มาลีหวล เล่าให้ฟังว่า เมื่อหลวงปู่ธรรมรังษีปลุกเสกล็อกเก็ต รุ่นมหาเศรษฐีที่บรรจุผงพรายกุมารเสร็จแล้ว ของที่ปลุกเสกยังคงอยู่พระอุโบสถ ครูวิชัย และอีกหลายคนที่เฝ้าของ ปรารภว่าอยากดูอิทธิฤทธิ์ผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม ที่หลวงปู่ธรรมรังษีปลุกเสกว่า จะมีอิทธิฤทธิ์สักแค่ไหน? ทันใดนั้นก็มีลมพัดมาแรงขึ้นและแรงขึ้นๆ จนดานลั่นประตูและหน้าต่างโบสถ์หลุดออก ลมพัดอู้เข้ามาในโบสถ์พวกครูวิชัยตกตะลึงหมด พอรุ่งขึ้นเช้าก็มีฝูงผีเสื้อบินทักษิณาวัตรรอบๆโบสถ์นับหมื่นๆตัว ล็อกเก็ตชุดนี้เลยถูกเช่าบูชาไปหมด ทุกคนที่เห็นและรู้เหตุการณ์ถึงกับเชื่อถือผงพรายกุมารที่คุณชินพรมอบให้ไปตามๆกัน
เมื่อผมได้รับการขอร้องให้ไปทอดกฐินตกค้างที่วัดเขาลอย อำเภอบ้านค่าย ระยอง จึงได้สร้างเสือ ๕๐๐ และ ปรกใบมะขามหลังเรียบ ขึ้นอย่างรีบด่วนเพราะมีระยะเวลาเพียง ๒๐ วัน เสร็จแล้วนำไปขอบารมีหลวงปู่ธรรมรังษี เมื่อท่านปลุกเสกเสร็จแล้วท่านพูดว่า ผงของเขาแรงดี จึงมีพลังมาก ปลุกเสกเสร็จแล้วเป็นรูปเป็นนามง่าย และเสือรุ่นนี้ก็โด่งดังมีประสบการณ์มากมาย ช่วยแท๊กซี่รอดจากการถูกจี้, ช่วยให้เด็กสาวรอดจากการถูกปลุกปล้ำ, จ่าปปส.ถูกยิงถึง ๔ นัดไม่ออก อดีตรองผู้การปปส.เล่าให้ฟัง ทั้งยังให้โชคเป็นแสนแก่ผู้นำไปขอโชค, โรงงานขวดพลาสติกขนาดใหญ่ รปภ. สไตท์ลาออกพร้อมกัน เจ้าของเอาเสือไปเฝ้าประตูป้องกันขโมยได้, หมอหนุ่มระดับ ดร.ตรวจพลังบอกแรงเหมือนเสือหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ยและมีชีวิตชีวา ขอบูชา ๑๐๐ ตัว แต่ให้ไปเพียง ๕๐ ตัว เมื่อนายแพทยท่านนี้สร้างหมูมหาโชคร่วมกับเพื่อนเพื่อนำรายได้ไปช่วยเด็กๆในภาคกลาง ไปตระเวนปลุกเสกแล้วร่วม ๑๐ องค์จึงนำไปขอให้หลวงปู่ธรรมรังษีปลุกเสกเป็นองค์ที่ ๑๑ โดยตั้งใจว่าจะปลุกเสกให้ได้ครบ ๑๖ องค์ เมื่อหลวงปู่ธรรมรังษีปลุกเสกให้แล้วก็กลับกรุงเทพฯมาถึงดึก จึงยังไม่เอาวัตถุมงคลหมูขึ้นตึก พอรุ่งเช้าลงมาที่รถ เจ้าหน้าที่ รปภ.ถึงกับถามว่าลูกหมูที่ขัวเอาไว้ในรถเมื่อคืนนี้ไปไหนแล้ว

พระขุนแผนผงพรายกุมาร รุ่นบรมครู ๓๒ ปี ๒๕๔๙ พิมพ์หน้าโสธร ไม่บรรจุตะกรุด
ด้านหลังยันต์จินดามณีหรือยันต์ครูหลวงปู่ทิม

พระขุนแผนผงพรายกุมาร รุ่นบรมครู ๓๒ ปี ๒๕๔๙ พิมพ์หน้าพระประธานเก่าที่หลวงปู่ทิมปั้นเอง ไม่มีตะกรุด ด้านหลังยันต์พัดโบกหลวงปู่ทิม โรยชนวนรูปเหมือนเนื้อทองเหลืองขนาดเท่าองค์จริงหลวงปู่ทิม

พระขุนแผนผงพรายกุมาร รุ่นบรมครู ๓๒ ปี ๒๕๔๙ พิมพ์เล็ก (กดพิมพ์ที่มูลนิธิฯ)
ด้านหลังยันต์ห้าหรือยันต์จินดามณี

พระขุนแผนผงพรายกุมาร รุ่นบรมครู ๓๒ ปี ๒๕๔๙ พิมพ์เล็ก เนื้อพิเศษผสมผงพรายด้านหน้าโรยตะไบชนวนชินบัญชร (กดพิมพ์ที่มูลนิธิฯ)
ด้านหลังยันต์ครู บรรจุจีวรดาดเพดานหลวงปู่ทิม

ดร.ท่านนี้แนะนำคุณชินพรว่า นานๆจะพบพระอภิญญาสูงๆ อย่างหลวงปู่ธรรมรังษี สักองค์หนึ่ง น่าจะสร้างพระกริ่งโพชฌงค์ขึ้นสักครั้ง ถ้าหากเกิดมีโรคประหลาดพิศดารขึ้นมาแล้วแพทย์ปัจจุบันยังหาสาเหตุไม่พบ จะได้เอาพระกริ่งโพชฌงค์มาทำน้ำพุทธมนต์รักษาได้ และหลังจากนั้นก็เกิดโรคประหลาดขึ้นดังเช่น โรคเอดส์และ โรคซาส์ ซึ่งจนบัดนี้ก็ยังหาสาเหตุและวิธีรักษาไม่พบ ถ้าหากได้สร้างพระกริ่งโพชฌงค์ไว้ก็อาจจะใช้อำนาจพุทธคุณช่วยได้ คุณชินพร ก็เลยเอาคติเรื่องนี้มาจัดสร้างพระกริ่งสัตตะโพชฌงค์ขึ้นในพิธีชินบัญชร รุ่นมหาปราบด้วย โดยสร้างเป็นพระพุทธนั่งประทับบนฐานปูปลาให้แปลกแตกต่างไปจากพระกริ่งที่เคยสร้างกันมาแล้ว พร้อมทั้งลงอักษรพระพุทธปริตรมหาโพชฌงค์ ซึ่งเป็นพุทธมนต์ที่เมื่อพระสงฆ์หรือแม้แต่พระพุทธองค์อาพาธ (ป่วย) ก็จะให้สวดโพชฌงค์ปริตรถวาย อาการเจ็บป่วยก็หาย! เมื่อสมัยพุทธกาลเกิดโรคห่าระบาดหนักในนครเวสาลี ผู้คนล้มตายมากมาย พระพุทธเจ้านำพระสงฆ์ไปยังนครเวสาลีและสวดโพชฌงค์พระปริตร ฝนได้ตกลงมาชะล้างสิ่งสกปรกและโรคห่าก็ระงับ
เมื่อคราวเจริญมนต์ในพิธีสัตตะมาวาสถวายหลวงปู่ทิมก็อาราธนาให้พระสงฆ์ทุกรูปสวดโพชฌงค์พระปริตรด้วยหลายๆจบ โดยโยงสายสิญจน์ไปยังพิธีกรรมทั้งขอให้พระคุณเจ้าทั้ง ๔ รูป สวดบรรจุพระคาถาโพชฌงค์ลงในพิธีด้วย พระกริ่งโพชฌงค์สร้าง ๒ พิมพ์คือพิมพ์หน้าไทยเนื้อสัมฤทธิ์ (ผสมชนวนรูปหล่อองค์แรกของหลวงปู่ทิมซึ่งประดิษฐานอยู่ในวิหาร) จำนวน ๘๔๐ องค์ ก้นบรรจุพุทธคุณผสมกรามช้างน้ำที่หลวงปู่ทิมปลุกเสกแจกให้ลูกศิษย์ไว้ใช้ติดตัวรักษาโรคและกันยาเบื่อยาเมา กันยาพิษต่างๆ, อีกพิมพ์หนึ่งคือหน้าพระกริ่งชินบัญชรหรือหน้าจีน เนื้อนวะโลหะ จำนวน ๑,๗๘๐ องค์ ก้นบรรจุผงเดียวกันและปิดก้นด้วยแผ่นทองแดง ลงหัวใจโพชฌงค์ “สะถะวิปิปะสะอุ...” ไว้ด้วย หัวใจโพชฌงค์นี้องค์หลวงปู่ทิมเคยบอกให้ทำเป็นแหวน แล้วจะปลุกเสกให้เพื่อป้องกันโรคภัยไข้เจ็บทั้งเป็นเมตตามหานิยมและแคล้วคลาด การสร้างพระกริ่งชินบัญชรสัตตะโพชฌงค์ครั้งนี้จึงเป็นห้วงให้หลวงปู่ทิมปลุกเสกให้ตามที่เคยสั่งไว้
โดยพระขุนแผน (พรายกุมาร) รุ่นสากหัก ที่เหลือจากแรกแจกกฐินออกไป ได้นำเข้าปลุกเสกในพิธีเททองพระกริ่งชินบัญชรมหาปราบ ณ วัดละหารไร่ ระยอง ๑๖ ตุลาคม ๒๕๔๖, และนำขึ้นไปทำพิธีพุทธาภิเษกในพระอุโบสถ วัดตาอี จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมพุทธาภิเษกรูปหล่อพระเจ้าสุริยชัยวรมันซึ่งหลวงพ่อชื่น วัดตาอี สร้างขึ้น โดยมีพระที่แก่กล้าวิทยาคมอย่างเอกอุ ๓ องค์ร่วมปลุกเสก คือ หลวงปู่ผาด วัดบ้านกรวด จิตแก่กล้าถึงขนาดเรียกนก เรียกปลาได้, หลวงพ่อชื่น วัดตาอี ยอดเกจิสายเขมรต่ำผู้เชี่ยวชาญทางวิชาเชมรโบราณ และ หลวงพ่อธีร เทพเจ้าแห่งลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ มีตบะเดชะกระแสจิตกล้า ภายในบริสุทธิ์เป็นแก้ว เกศาที่ปลงไว้ขดกันเป็นก้อนคล้ายก้นหอย ท่านมีสมญานาม อีกอย่างว่า หลวงพ่อย่ามบิน
และเมื่อพระจันทร์เต็มดวงโคจรมาอยู่ตรงประตูพระอุโบสถวัดตาอี ก็ได้อาราธนา หลวงปู่ธรรมรังษี วัดพระพุทธบาทเขาพนมดิน มาปลุกเสกเดี่ยวเป็นองค์สุดท้ายในเทวีฤกษ์ ฤกษ์เดียวกับการสร้างพระกริ่งชินบัญชรเมื่อ ๓๔ ปีมาแล้ว พร้อมทั้งอาราธนาอัญเชิญ หลวงปู่ทิม อิสริโก มาร่วมพิธีปลุกเสกเดี่ยวของธรรมรังษีด้วย


พรายแก้วยอดขุนพล พรายกุมารหลวงปู่ทิม ก็กำเนิดจากถ้ำขุนแผน


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะเป็นเรื่องจริงพระขุนแผนพรายกุมารหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ อ.บ้านค่าย จังหวัดระยอง มีสนนราคาแพงกว่า พระขุนแผนกรุของสุพรรณ และเมืองกาญจน์ เมื่อ ๓๖ ปีที่ผ่านมาประมาณ พ.ศ.๒๕๑๖-๒๕๑๗ พระขุนแผนทั้งพิมพ์ใหญ่พิมพ์เล็กของหลวงปู่ทิม มีราคาเพียงองค์ละ ๑๐-๒๐ บาท วางให้ทำบุญในตู้วัตถุมงคลของวัด ใครไปใครมาต่างก็เมินไม่มีใครอยากเช่า จนหลวงปู่ทิมต้องแจกฟรีๆ เมื่อผู้เขียนเป็นเจ้าภาพชักจูงผู้คนไปทอดผ้าป่าและทอดกฐินเมื่อปี ๒๕๑๗ ขอพระขุนแผนพิมพ์เล็กมาแจกผู้ร่วมเดินทางไปด้วยแจกคนละองค์น้อยไป ยัดเยียดให้ไปคนละ ๒-๓ องค์ก็ยังไม่มีใครอยากรับ

เมื่อศาลาภาวนาภิรัตใกล้แล้วเสร็จ หลวงปู่ทิมท่านยกพระขุนแผนให้ผู้เขียน ๑ ปีปโอเล่ ผู้เขียนปฏิเสธไม่รับบอกเอาใส่ตู้ออกให้บูชาองค์ใหญ่ ๒๐ บาท องค์เล็ก ๑๐บาท จะดีกว่า แล้วให้เงินแม่ครัวไว้ทำกับข้าวถวายพระและเณรจะดีกว่า เพราะในยุคนั้นชาวบ้านยากจนมากใส่บาตรพระเพียงแต่ข้าวเปล่า กับไม่ค่อยมี เมื่อผู้เขียนไม่รับหลวงปู่ทิมท่านพูดย้ำแล้วย้ำอีกว่า “ของดีน๊า ... ขอดีน๊า” แต่ผู้เขียนก็ไม่รับ เพื่อนที่มาร่วมทำงานหลายคนจำได้ว่ามี คุณวิรัช ชำนาญณรงค์ เจ้าหน้าที่ศูนย์คอมพิวเตอร์กรมชลประทาน ถามว่า “ทำไมไม่รับวะ” ผมบอกไม่ดังหรอก ของกรุเขามีแล้ว หลวงปู่ก็พูดซ้ำอีก “เอาไปซิ ... ของดีน๊า” ก็นึกเสียใจมาจนบัดนี้ เพราะขุนแผนพรายกุมารของหลวงปู่ทิม ท่านดังจริงๆมีประสบการณ์มากมายแก่ผู้ใช้ หลวงปุ่ทิมท่านเคยพูดว่า คนสมัยนี้เชื่อถืออะไรยาก คุณพระให้ผลช้า ต้องเอาผีช่วยแอบ และพระเครื่องเนื้อผงที่เอาผีช่วยแอบของท่านก็ดังระเบิดอยู่ในเวลานี้ เริ่มต้นจากผู้นำไปใช้แล้วเกิดเป็นเมตตามหานิยมเล็กๆน้อยๆ และก็เล่าลือกัน จากพระเครื่องพิมพ์ขุนแผนองค์เล็กๆที่หาง่ายราคาไม่แพงที่ได้ไปฟรีบ้าง เช่าไปจากวัดเพียงองค์ละ ๑๐ บาท, ๒๐ บาทบ้าง ก็เป็นที่แสวงหาขึ้นมา ซึ่งระยะเวลาเพียง ๓๖ ปีมีผู้เช่าบูชาไปองค์ละหลายแสนบางองค์ที่สวยๆบูชาเช่าหาเปลี่ยนมือกันไปองค์ละล้าน,ล้านกว่าก็มีแล้วและหลายองค์ด้วย จากการร่ำลือว่าพระขุนแผนเนื้อผงของหลวงปู่ทิมใช้แล้วดีเหลือหลาย จึงมีผู้นำไปตรวจสอบทางในขึ้นเพื่อต้องการทราบว่า หลวงปู่ทิมท่านทำอย่างไร สร้างอย่างไรจนดังแซงหน้าพระขุนแผนเก่าที่เป็นพระกรุไปอย่างเหลือเชื่อ การติดตามสืบถามประวัติจึงเกิดขึ้น มีหนังสือที่นำเอาทั้งภาพพระขุนแผนและประวัติในการสร้างพิมพ์ออกขาย หลายสำนักก็ขายดี เมื่อรวมสรุปแล้วยุติได้ว่าดีเพราะพระขุนแผนของหลวงปู่ทิม สร้างจาก ผงพรายกุมาร

หลวงปู่ทิม ท่านได้ผงพรายกุมารมาอย่างไร จากตำราอะไรและใครเป็นคนสอน เจ้าตำราเป็นใคร จึงการค้นคว้าติดตามเรื่องราวในการสร้างผงพรายกุมารเกิดขึ้น เพราะพระขุนแผนพรายกุมารของหลวงปู่ทิม มีอายุการทำขึ้นมาในเวลาเพียง ๓๖ ปี ผู้รู้เห็นเหตุการณ์จึงยังคงมีชีวิตอยู่ พอสืบสาวและไต่ถามกันได้ หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ และ นายสาย แก้วสว่าง ๒ ศิษย์ผู้รู้เห็นและมีส่วนทำผงพรายกุมารยังมีชีวิตอยู่ (ในขณะสืบค้น และทั้งสองเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อ ๒-๓ ปีที่ผ่านมานี้เอง) ผงพรายกุมารที่หลวงปู่ทิมทำขึ้น ท่านทำจากผีท้องแก่ที่ทั้งแม่ทั้งลูกตายในท้อง และลูกนั้นต้องเป็นลูกผู้ชายด้วย จึงจะเรียกว่า ผงพรายกุมาร เหมือนพรายกุมารของขุนแผนที่ผ่าออกมาจากท้องนางบัวคลี่ ที่เป็นเรื่องจริงเพราะขุนแผนมีตัวตนอยู่จริงแต่ผู้เขียนต่อๆมาได้เพิ่มเติมเสริมแต่งให้เป็นนวนิยายขึ้นมาและเชื่อถือสืบเนื่องกันต่อๆมา พระกรุเก่าอายุหลายร้อยปีที่ประทับนั่งอยู่ในซุ้มเรือนแก้วจึงเรียกกันโดยทั่วไปว่าพระขุนแผนและก็ได้มีการสร้างต่อทำสืบเนื่องกันต่อๆมา จนวัดวาอารามต่างก็สร้างขุนแผนขึ้นมามีทั้งสร้างแล้วโด่งดังมีราคาเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านจนเหนือกว่าพระกรุขุนแผนของเก่า ก็มีแต่เพียงพระขุนแผนผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม อิสริโก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยองเท่านั้น ที่หายากมีราคาแพงและก็มีของปลอมของเก๊ออกมาอาละวาดกันมากขึ้น

ผู้เขียนเป็นผู้ที่นำประวัติและเรื่องราวของหลวงปู่ทิมพิมพ์ออกมาเผยแพร่ รวมถึงเรื่องการทำผงพรายกุมารของท่านด้วย ผู้เขียนเคยเขียนจากคำบอกเล่าของหลวงปู่ทิมว่า ขุนแผนมีตัวตนอยู่จริง และหลวงปู่ทิมท่านเคยไปถึงถ้ำนางบัวคลี่ด้วย ท่านพูดให้ฟังเพียงเท่านี้ เพราะหลวงปู่ทิมท่านเป็นพระที่ไม่ค่อยพูด นั่งนิ่งเฉยๆคงมีสติครองตัวอยู่ตลอดเวลาจึงได้เรื่องราวการทำผงพรายกุมารของท่านน้อยมาก เลยไม่ทราบว่าท่านเล่าเรียนมาจากใคร เมื่อได้ศึกษาประวัติพระเกจิอาจารย์ของเมืองกาญจนบุรีที่มีพระเก่งๆอยู่หลายรูปจนเป็นตำนานเล่าขานกัน จึงได้ทราบว่าหลวงพ่อยิ้ม วัดหนองบัว เป็นพระอาจารย์อีกองค์หนึ่งของเสด็จกรมหลวงชุมพร ทั้งเป็นสุดยอดเกจิอาจารย์องค์หนึ่งของเมืองกาญจน์และเมื่อได้ค้นคว้าศึกษาประวัติพ่อเฒ่ายิ้ม วัดหนองบัว ที่ท่านละเอียดรัช บัวขม ชาวบ้านวัดคงเมืองกาญจน์เขียนไว้ก็พบว่า พ่อเฒ่าหมอแก่ที่หลวงปู่ทิมเอ่ยปากเอ่ยชื่อ เวลาอัญเชิญครูบาอาจารย์เมื่อท่านจะปลุกเสกของนั้นก็คือพ่อเฒ่ายิ้ม วัดหนองบัวนี่เอง คำว่า พ่อเฒ่าหมอแก่ นอกจากเป็นการเอ่ยถึงครูบาอาจารย์ของหลวงปู่ทิม คือ พ่อเฒ่ายิ้ม แล้วหมอแก่ก็คงจะเป็นการเอ่ยถึงครูบาอาจารย์ฆราวาสของพ่อเฒ่ายิ้มอีกนั่นเอง จึงน่าสรุปได้ว่า หลวงปู่ทิมคงได้เรียนรู้วิชาการทำผงพรายกุมารมาจากพ่อเฒ่ายิ้มและอาจารย์ฆราวาส ที่สมัยนั้นมักจะเอ่ยเรียกท่านโดยทั่วไปว่า พ่อเฒ่า

ก่อนที่ท่าน ละเอียดรัช จะพิมพ์หนังสือประวัติพ่อเฒ่ายิ้ม วัดหนองบัวออกมาท่านพาผมไปถ้ำเขาขุน ซึ่งครั้งก่อนเรียกว่า ถ้ำนางบัวคลี่ที่หลวงปู่ทิม พระอาจารย์ของผมพูดถึง ท่านนายพลพาผมเข้าถ้ำขุนแผนขึ้นๆลงถึงห้าห้องมีกระท่อมขุนแผนอยู่ในถ้ำในห้องนั้น ท่านนายพลชี้ให้ผมดูถึงที่ที่ขุนแผนผ่าท้องนางบัวคลี่ แล้วอุ้มกุมารไปล้างตรงบริเวณที่มีน้ำไหล เป็นที่ซับน้ำแล้วนำไปย่างไฟตรงบริเวณใกล้เคียงกัน ท่านบอกเป็นคำบอกกล่าวเล่าลือกันมาแต่ครั้งโบราณ ท่านจำได้ดีเพราะตระกูลบัวขมของท่านเป็นคนกาญจน์ เกิดที่วัดคง ต.วังด้ง กาญจนบุรี


พระขุนแผน พรายแก้ว ยอดขุนพล เหลืองมหาลาภ
ขุนแผนอุ้มกุมารควงดาบฟ้าฟื้น ขี่ม้าสีหมอก ล้อมรอบด้วยยันต์เมตตา มหากำบัง มหาปราบ

พระขุนแผน พรายแก้ว ยอดขุนพล เเดงว่านสบู่เดือด
ทุกสีขี่ม้าสีหมอกล้อมด้วยมหายันต์เหมือนกัน

พระขุนแผน พรายแก้ว ยอดขุนพล เขียวว่านร้อยแปด (ขัดตามอญเป็นแม่ว่าน)

พระขุนแผน พรายแก้ว ยอดขุนพล ดำมหาเศรษฐี (กะลาตาเดียว)


ท่านละเอียดรัช บัวขม ดำริจะทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อหารายได้สมทบทุนสร้างพิพิธภัณฑ์ท่านพ่อเฒ่ายิ้ม ที่วัดหนองประชุมพร้อมกับสมทบทุนสร้างศาลาสวดศพไปด้วยจึงชวนผมร่วมบุญด้วย จะทอดในวันเสาร์ที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๓ ณ วัดหนองประชุม ต.วังด้ง อ.เมือง กาญจนบุรี ท่าน ละเอียดรัช จะนำพระปิดตาพ่อเฒ่ายิ้มซึ่งก๋งพง บัวขม ปู่ของท่านละเอียดรัช เป็นผู้สร้างเก็บสะสมไว้มาออกสมนาคุณแก่ผู้ร่วมทำบุญทอดผ้าป่า พระปิดตาพ่อเฒ่ายิ้มเป็นพระปิดตาที่หายากที่สุดและมีราคาแพงมาก พิมพ์นิยมองค์ละหลายแสนบาท แต่เพื่อการกุศลในการทอดผ้าป่าครั้งนี้ถ้าใครร่วมทำบุญตั้งแต่ ๓๐,๐๐๐ บาทขึ้นไปท่านยินดีจะมอบพระปิดตาพ่อเฒ่ายิ้มให้เป็นที่ระลึก ส่วนท่านที่ทำบุญ ๒๐๐ บาทขึ้นไปจะได้รับพระพรายแก้วยอดขุนแผนเป็นของที่ระลึก

พรายแก้วยอดขุนพล สร้างจากผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิมที่ท่านมอบให้ผมก่อนมรณภาพ เมื่อ ๓๖ ปีมาแล้วและเมื่อท่านละเอียดรัช บัวขม พาผมไปในถ้ำขุนแผน ผมจึงขอพลีดินจากในถ้ำหลายจุดที่สำคัญเอามาด้วย แม้แต่ดินกลางถ้ำใหญ่อันเป็นที่สุดยอดปรมาจารย์ทั้ง ๘ องค์ของประเทศไทยมานั่งชุมนุมแลกเปลี่ยนวิชาแสดงฤทธิ์ให้กันและกันดู ผมก็ไปพลีเอามาผสมเพื่อทำพระพรายแก้วยอดขุนพลด้วย ทั้งๆที่ชาวบ้านเตือนว่า ดินตรงที่ปรมาจารย์นั่งประชุมกันนี้ไม่เคยมีใครเอาออกไปจากถ้ำได้ พระเกจิอาจารย์บางองค์เอาออกไปแต่เพียงคืนสองคืนก็ต้องเอามาคืนทั้งหมด แม้พระบางองค์ที่ว่าแน่ๆมานั่งอยู่ในถ้ำพอดึกสงัดก็ร้องโว้ยวายวิ่งออกมาจากในถ้ำแทบไม่ทัน บ้างสติแตกก็มี

นอกจากจะพลีดินที่ยอดเกจิอาจารย์ทั้ง ๘ องค์มานั่งประชุมสำแดงฤทธิ์ต่อกันแล้วผมยังไปพลีดินตรงบริเวณที่ขุนแผนเอากุมารไปย่างมาด้วย ตั้งแต่เอามาแล้วผมได้นำเอามาตำป่นเป็นผงทำพระพรายแก้วยอดขุนพล จนบัดนี้ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นและพระพรายแก้วยอดขุนพลก็สร้างเสร็จแล้วพร้อมแจกเป็นของสมนาคุณแก่ผู้บริจาคเงินร่วมทอดผ้าป่าสามัคคีในวันเสาร์ที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๓ นี้ด้วย เพราะก่อนพลีดินศักดิ์สิทธิ์ผมบอกกล่าวถึงวัตถุประสงค์ทั้งยังอธิษฐานว่า ถ้าหลวงปู่ทิม อิสริโก พระอาจารย์ผมได้วิชาทำผงพรายกุมารจากพ่อเฒ่ายิ้มหรือจากเกจิอาจารย์องค์ใดในถ้ำนางบัวคลี่ หรือถ้ำขุนแผนนี้จริง ก็ขอให้งานสำเร็จอย่ามีอะไรที่ไม่ดีอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับเลย


เรื่องที่ผมเขียนว่าหลวงปู่ทิมน่าจะได้วิชาทำผงพรายกุมารจากพ่อเฒ่ายิ้มนั้น เท่าที่ผมสืบสานรวมเรื่องไม่ปรากฏว่าท่านไปร่ำเรียนทำผงพรายกุมารมาจกอาจารย์องค์ใด จึงคาดเดากันไปต่างๆ นานา แต่ครั้งที่ท่านยกพระขุนแผนพรายกุมารมาให้ผมหนึ่งปีบแล้วผมไม่เอา ทั้ง ๆที่ท่านย้ำแล้วย้ำอีกว่า ของดีนา ของดีนา ผมก็ยืนกรานไม่เอาท่าเดียว บอกว่าเอาให้คนเช่าบูชาดีกว่า จะได้เอาเงินไปซื้อ อาหารมาถวายพระ เพราะเวลาพระออกบิณบาตร มักจะมีแต่ข้าวอย่างเดียว คุณวิรัช เพื่อนผม ร่วมทั้งคนอื่น ๆ ถามผมว่าทำไมไม่เอา ผมบอกให้ได้ยินกันทุกคนว่า ของกรุเขามีแล้วไม่ดังหรอก เก็บไว้ที่วัดดีกว่า และในคืนนั้นหลวงปู่พูดว่าขุนแผนมีตัวตนอยู่จริง ท่านได้ไปถึงถ้ำนางบัวคลี (ปัจจุบันเรียกว่าถ้ำขุนแผน) มาแล้วท่านพูดเพียงเท่านี้ ไม่มากกว่านี้และผมเคยเขียนประโยคนี้ลงหนังสือไว้นานแล้ว ในครั้งนั้นเราเอาของรวม ๆ กันให้ท่านปลุกเสกก่อนลากลับ ท่านกล่าวเชิญครูบาอาจารย์ดัง ๆ ว่า “โยมเริ่ม โยมรอด หมอวัง หลวงปู่สังเฒ่า พ่อเฒ่า..... หมอแก่” ผมจำได้ว่าผมสวดมนต์ไหว้พระและอัญเชิญครูอาจารย์ ผมก็เอ่ยชื่อครูบาอาจารย์ นี้ด้วย ผมมาถึงบางอ้อ เมื่อท่านผู้การ ละเอียดลัด บัวขม เอาประวัติพ่อเฒ่ายิ้มมาให้ศึกษาก็เลยคิดว่า หลวงปู่ทิม สมัยท่านหนุ่ม ๆ คงเดินธุดงด์ ไปถึงป่าเมืองกาญฯ จึงพูดกับผมว่า ขุนแผนมีตัวตนจริงท่านเคยไปถ้ำนางบัวคลี (เมียที่ขุนแผนผ่าเอากุมาร) มา หลวงปู่ทิม สมัยที่ยังหนุ่ม ๆ อยู่ ท่านเดินธุดงส์ทุกปี และไปกับคณะของหลวงพ่อปาน วัดบ้างเหี้ย ซึ่งหลวงพ่อปานกับพ่อเฒ่ายิ้มนั้นท่านเป็นเพื่อนกัน เรียนวิชากับหลวงพ่อกลิ่น มาด้วยกัน หลวงปู่กลิ่นเป็นสหายกับสมเด็จพุฆจารย์โตและเป็นผู้ทำผงอธิเจให้สมเด็จสร้างพระสมเด็จ มรณะภาพก่อนสมเด็จโต ๖ ปี


เมื่อต้นปี ๒๕๕๓ ผู้การละเอียดรัด บัวขม พาคณะและผมพร้อมศิษย์ ๓ คนไปถ้ำขุนแผนหรือถ้ำนางบัวคลีที่หลวงปู่ทิมเคยพูดถึง เข้าไปจนถึง ถ้ำที่ ๕ ที่ใหญ่และกว้างขวางที่นั้นทางวัดได้ล้อมรั้วเป็นวงกลมไว้ เขียนชื่อสุดยอดเกจิอาจารย์ไว้ ๘ ชื่อท่านบอกว่า เป็นที่ลองวิชาของ ๘ เกจิซึ่งล้วนมีชื่อเสียงโด่งดังทั้ง ๘ องค์ มีชื่อหลวงพ่อปาน วัดคลองด่านอยู่ด้วยหนึ่งองค์ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่ทิม และหลวงปู่ทิมจะธุดงไปกับคณะของท่านเป็นประจำ ผมไปตักเอาดินที่ปักป้ายชื่อพระเกจิอาจารย์ใส่ถุงมาทั้ง ๘ องค์ โดยทำพิธีสวดมนต์ท่องพระคาถาลั่นถ้ำ จนผู้ที่อยู่ในถ้ำต้องพนมมือกราบ พระที่ลงไปพร้อม ๆ กันทั้งหมด บอกว่า ดินที่ผมตักเอาใส่ถุง ไปนั้นไม่เคยมีใครเอาออกไปได้สักรายเดียว อย่างเก่งเอาไปเพียงคืนเดียวก็ต้องนำกลับมาคืน ผมก็เลยอธิฐานว่า ผมเป็นศิษย์หลวงปู่ทิม ถ้าอาจารย์ผมเคยเรียนวิชาหรือได้คำแนะนำจากพ่อเฒ่ายิ้มในเรื่องการสร้งผงพรายกุมารก็ขอเอาผงดินนี้ไปสร้างพระขุนแผน อย่าต้องเอามาคืนเหมือนคนอื่นเลย และเมื่อขึ้นมาถึงถ้ำแรกท่านผู้การชี้ให้ดูบริเวณที่มีก้อนหินสองก้อนชิดเข้าหากัน ใต้ก้อนหินเป็นช่องว่างท่านบอกตรงนี้เป็นที่ขุนแผนเอากุมารมาย่าง ไม่เคยมีใครเอาดินตรงนั้นออกไปจากถ้ำได้เลย แต่ผมก็ทำพิธีพลีและขุดออกมาอีกก้อนใหญ่ ก็ไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น และเมื่อเอาดินทั้งหมดไปสร้างพระขุนแผนก็ลุล่วงไปดูดี รูปหล่อขุนแผนองค์ที่เป็นที่ชื่นชมแก่ผู้พบเห็นและพระขุนแผนทั้งพิมพ์เล็กและพิมพ์ใหญ่ที่แจกกฐินก็ได้เงินทั้งหมดล้านเจ็ดแสนกว่าบาท ซ้ำเมื่อหนุ่ม ๑๙ เซียนพระและเจ้าของรายการวิทยุชื่อดังเอาไปลองยิงที่งานศพหลวงพ่อเจือ วัดกลางบางแก้วกระสุนด้านทั้ง ๓ นัด การสำเร็จลุล่วงขนาดนี้ ผมเชื่อว่า หลวงปู่ทิมคงได้รับคำแนะนำจากพ่อเฆ่ายิ้มในเรื่องการทำผงพรายกุมารอย่างแน่นอน

ชินพร สุขสถิตย์





ข้อมูลจากมูลนิธิ หลวงปุ่ทิม วัดละหารไร่